ค่ำคืนในพระราชวังแห่งนั้นช่างเงียบสงัด ดวงจันทร์ทอแสงเรืองรองอยู่เหนือทะเลทรายอันไกลโพ้น ท่านราชมนตรีเดินทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างพลางถอนหายใจลึก เขาไม่เคยรู้สึกหนักใจเท่านี้มาก่อน
เชเฮราซาด ลูกสาวคนโตของเขา สง่างามและกล้าหาญนั่งอยู่ตรงหน้าเงียบๆ นางมีท่าทีสงบจนเกือบจะเยือกเย็น แต่ในดวงตาคู่งามนั้น กลับฉายแววเจตจำนงอันแรงกล้า
“พ่อของข้า” นางกล่าวขึ้นในที่สุด น้ำเสียงนุ่มนวลแต่เด็ดเดี่ยว “ข้ารู้ว่าท่านเจ็บปวดเพียงใด แต่ข้าขอร้องท่านอีกครั้ง โปรดมอบข้าให้สุลต่านเถิด”
ราชมนตรีส่ายหน้า หัวใจของเขาเหมือนถูกคมมีดบาดครั้งแล้วครั้งเล่า “เจ้าไม่เข้าใจหรือเชเฮราซาด? ข้าคือพ่อของเจ้า ข้ารักเจ้าเกินกว่าจะปล่อยเจ้าไปสู่ความตายที่น่าหวาดหวั่นเช่นนั้นได้”
แต่เชเฮราซาดยังคงนิ่งสงบ “หากข้าไม่ยอมเป็นคนแรกที่จะลุกขึ้นสู้ แล้วใครเล่าที่จะกล้าทำ? ข้ารู้ว่าเส้นทางนี้เต็มไปด้วยความเสี่ยง แต่ข้าก็พร้อมแล้วที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อยุติความโหดร้ายนี้ พ่อของข้า โปรดเชื่อในตัวข้า”
ราชมนตรีมองใบหน้าของลูกสาว ใบหน้าที่เคยสดใสและอ่อนเยาว์ แต่บัดนี้เปี่ยมด้วยความตั้งใจที่เกินวัย น้ำตาแห่งความสิ้นหวังเอ่อคลอเบ้าตา “เชเฮราซาด เจ้าคือดวงใจของข้า เจ้าไม่รู้หรือว่าหากเจ้าตาย ข้าก็จะไม่เหลืออะไรอีกเลย?”
“ข้ารู้ พ่อของข้า” นางตอบเสียงแผ่วเบา “แต่จงมองให้ไกลกว่าความสูญเสียส่วนตัวของเราเถิด หากข้าสามารถหยุดสุลต่านได้ หากข้าสามารถช่วยเหลือหญิงสาวอีกนับไม่ถ้วน ชีวิตของข้าก็หาได้ไร้ค่าไม่”
คำพูดนั้นราวกับคมดาบที่กรีดหัวใจของราชมนตรี เขากลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เมื่อรู้ว่าไม่อาจเปลี่ยนใจลูกสาวได้อีกต่อไป “เจ้าช่างดื้อรั้นเหลือเกิน ลูกข้า” เขากล่าวด้วยเสียงสะอื้น “ข้าหวังว่าฟ้าดินจะปกป้องเจ้า”
ในค่ำคืนนั้น ท่านราชมนตรีไม่อาจข่มตาหลับได้ ความคิดวุ่นวายเกี่ยวกับคำขอของเชเฮราซาดและคำสั่งของสุลต่านวนเวียนอยู่ในหัว เขาเดินไปมาภายในตำหนักของตน ดวงตาฉายแววสิ้นหวัง ทุกครั้งที่เขาหยุดนิ่ง ภาพของลูกสาวผู้มีดวงตาเปี่ยมความมุ่งมั่นก็ปรากฏขึ้นในใจ
รุ่งเช้า ท่านราชมนตรีเดินทางไปยังพระราชวังด้วยก้าวย่างที่หนักอึ้ง หัวใจของเขาเหมือนถูกฉีกขาดทุกครั้งที่คิดถึงชะตากรรมของเชเฮราซาด เมื่อเขาเข้าพบสุลต่าน พระองค์ประทับอยู่บนบัลลังก์ทองคำ อาภรณ์ราชันยิ่งใหญ่ของพระองค์ดูทรงอำนาจ แต่ดวงตาของพระองค์กลับเต็มไปด้วยความเย็นชา
“มีข่าวอะไร?” สุลต่านถาม น้ำเสียงเย็นยะเยียบที่สะท้อนถึงพระทัยที่แข็งกร้าว
ท่านราชมนตรีสูดหายใจลึกก่อนตอบ “ฝ่าบาท ข้าน้อยขอน้อมเกล้าถวายข่าว พระองค์จะได้เจ้าสาวคนใหม่ในวันพรุ่งนี้”
คำกล่าวของเขาทำให้สุลต่านเลิกพระขนงขึ้นเล็กน้อย “หญิงสาวผู้นั้นคือใคร?”
ราชมนตรีตอบด้วยเสียงที่พยายามกลบเกลื่อนความสะเทือนใจ “นางคือเชเฮราซาด ลูกสาวของข้าน้อย นางปรารถนาที่จะเป็นผู้รับชะตากรรมนี้ด้วยตัวเอง”
สุลต่านนิ่งงันไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแฝงความประหลาดใจและเสียดแทง “ท่านยอมเสียสละเลือดเนื้อของตนเองหรือ ท่านราชมนตรี? มีสิ่งใดในโลกนี้ที่บังคับให้พ่อทำสิ่งนั้นได้บ้าง?”
“ฝ่าบาท” ท่านราชมนตรีตอบด้วยดวงตาที่สั่นไหว “ข้าน้อยไม่มีอำนาจขัดขวางความตั้งใจของนางได้เลย นางยืนกรานอย่างหนักแน่น แม้จะรู้ดีว่าการเดินทางครั้งนี้อาจไม่มีวันหวนกลับ”
สุลต่านทรงทอดพระเนตรท่านราชมนตรีด้วยสายตาที่แฝงทั้งความสงสัยและการเย้ยหยัน “ข้าหวังว่าเจ้าจะรู้จักความเสี่ยงของการกระทำนี้ดี จำไว้ว่าหากนางพยายามทำสิ่งใดที่ข้าไม่พอใจ ท่านจะต้องชดใช้ด้วยชีวิตของท่านเอง”
“ข้าน้อยเข้าใจดี พระเจ้าข้า” ท่านราชมนตรีตอบด้วยเสียงที่แหบแห้ง “แม้ข้าจะเป็นพ่อของนาง แต่ข้าก็เป็นข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระองค์”
สุลต่านพยักหน้าเบาๆ พลางมองราชมนตรีผู้สูงวัยตรงหน้า พระองค์รับรู้ถึงความหนักอึ้งในหัวใจของเขา แต่ความเย็นชาที่ฝังแน่นในพระทัยทำให้ไม่มีที่ว่างสำหรับความเมตตา “ดี ถ้าเช่นนั้นจงเตรียมนางให้พร้อมสำหรับวันพรุ่งนี้ และจงอย่าให้มีสิ่งใดผิดพลาด”
เมื่อเดินออกจากท้องพระโรง ท่านราชมนตรีรู้สึกเหมือนกับว่าขาแต่ละก้าวนั้นหนักขึ้นเรื่อยๆ ความเจ็บปวดในใจยิ่งเพิ่มพูนเมื่อคิดถึงเชเฮราซาด ลูกสาวผู้กล้าหาญซึ่งชะตากรรมที่รออยู่เบื้องหน้าช่างดูมืดมนราวกับคืนไร้ดวงดาว
ในขณะเดียวกัน ในพระราชวังอันยิ่งใหญ่ สุลต่านชารียาห์ทอดพระเนตรท้องฟ้าที่เริ่มมืดครึ้มผ่านหน้าต่างบานสูง พระองค์ครุ่นคิดถึงหญิงสาวที่กล้าหาญถึงขนาดอาสาเข้ามาเป็นเจ้าสาวของพระองค์โดยสมัครใจ
ในเช้าวันถัดมา เชเฮราซาดในชุดเจ้าสาวสีขาวบริสุทธิ์ ก้าวขึ้นรถม้าที่จะพาเธอไปยังพระราชวัง สายลมเย็นยามรุ่งสางพัดผ่าน เส้นผมยาวสลวยของเธอปลิวไสว เธอหลับตาลง สูดลมหายใจลึก เตรียมใจกับชะตากรรมเบื้องหน้า
ขณะที่รถม้าแล่นเข้าใกล้พระราชวังอันยิ่งใหญ่ สุลต่านยืนรออยู่ที่บันไดสูง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความสงสัยยามมองหญิงสาวผู้กล้าหาญที่ก้าวเดินเข้ามาในชีวิตของเขาอย่างสง่างาม
รถม้าหรูหราแล่นผ่านประตูทองคำของพระราชวัง ทิ้งรอยล้อบนถนนหินอ่อนที่สะท้อนแสงอาทิตย์ยามเย็น เสียงล้อกระทบพื้นดังก้องไปทั่วบริเวณ ราวกับการมาถึงของเชเฮราซาดเป็นสัญญาณที่แม้แต่ลมฟ้าก็ไม่อาจมองข้าม
เชเฮราซาดนั่งนิ่งอยู่ภายในรถม้า ชุดเจ้าสาวสีงาช้างปักลายด้วยทองคำบริสุทธิ์ทอประกายเมื่อกระทบแสงอ่อน เธอสูดลมหายใจลึกเพื่อข่มความหวั่นไหวในใจ ทว่าแววตาของเธอกลับมั่นคงและสง่างาม ราวกับนักรบผู้พร้อมเผชิญหน้ากับสนามรบ
เมื่อรถม้าหยุดลงที่บันไดสูงทอดยาวนำไปยังประตูพระราชวัง สุลต่านทรงยืนอยู่เบื้องบน ดวงตาคมกริบใต้พระพักตร์เคร่งขรึมจับจ้องมาที่หญิงสาวอย่างไม่ละสายตา เขามิเคยคาดคิดว่าผู้หญิงที่เขาแต่งงานด้วยจะปรากฏตัวเช่นนี้—ไม่ใช่ด้วยความหวาดกลัวหรือยอมจำนน แต่กลับแฝงความกล้าหาญที่ชวนให้น่าประหลาดใจ
เชเฮราซาดก้าวลงจากรถม้าด้วยท่วงท่าสง่างาม สายลมเย็นยามค่ำคืนพัดผ่าน ปลายเส้นผมดำขลับของเธอพลิ้วไหว ดวงตากลมโตของเธอเงยขึ้นสบกับสุลต่านโดยไม่หลบสายตา เธอเดินขึ้นบันไดอย่างมั่นคงทุกย่างก้าว ราวกับไม่ใช่หญิงสาวที่กำลังถูกส่งมอบให้ความตาย แต่เป็นผู้ที่กำลังท้าทายชะตากรรม
สุลต่านทอดพระเนตรหญิงสาวตรงหน้า เขาไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเธอช่างงดงามเกินกว่าจะมองข้าม แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเขายิ่งกว่าความงามนั้น คือความมุ่งมั่นในดวงตาของเธอ—ดวงตาที่สะท้อนความลึกลับ ความท้าทาย และความอ่อนโยนในคราวเดียวกัน
“เจ้าคือเชเฮราซาดหรือ?” สุรเสียงของสุลต่านดังขึ้น คล้ายคำถามแต่กลับแฝงความสนใจ
“เพคะ ฝ่าบาท” เชเฮราซาดตอบเสียงนุ่มนวล ทว่าชัดเจน ดวงตาของเธอยังคงสบพระเนตร “ข้าเป็นผู้ที่ยินดีมอบตัวเพื่อรับใช้ท่าน”
สุลต่านก้าวลงจากบันได พระองค์มองเธอใกล้ขึ้น ใกล้ขึ้น ราวกับต้องการไขปริศนาในตัวหญิงสาวตรงหน้า ทันใดนั้น พระองค์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนลงเล็กน้อย “เจ้ารู้หรือไม่ ว่าค่ำคืนนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งที่เจ้าอาจเสียใจไปตลอดชีวิต?”
เชเฮราซาดยิ้มบางๆ ทว่ายังแฝงความหนักแน่นในแววตา “บางครั้งการเสียใจก็อาจมีค่ามากกว่าการไม่เคยพยายามเลย”
คำตอบนั้นทำให้สุลต่านนิ่งงัน ดวงตาของพระองค์จ้องลึกลงไปในแววตาของเธอ คล้ายกำลังประเมินสิ่งที่เขาไม่เคยพบเจอในชีวิตมาก่อน เชเฮราซาดคือคนที่แตกต่าง—แตกต่างจนแม้แต่พระองค์เองก็เริ่มหวั่นไหว
ในอดีต สุลต่านชารียาห์เคยเป็นชายหนุ่มผู้เปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นและความเชื่อมั่นในความรัก พระองค์ทรงเติบโตในพระราชวังที่ห้อมล้อมด้วยความรักจากบิดา พระมารดาและพระอนุชา พระองค์มีหัวใจที่เปิดกว้างและเชื่อมั่นว่าความรักคือสิ่งที่บริสุทธิ์ที่สุดในโลกใบนี้
เมื่อถึงวัยที่เหมาะสม พระองค์ได้พบกับสตรีนางหนึ่ง—ราชินีแห่งความงามและเสน่ห์ ผู้ที่ทำให้พระองค์รู้สึกว่าทุกสิ่งในชีวิตสมบูรณ์แบบ พระนางเป็นดังดวงดาวที่ส่องแสงเจิดจรัสในชีวิตอันมืดมนของพระองค์ในยามที่ต้องแบกรับความรับผิดชอบอันหนักหน่วง พระองค์ทรงมอบหัวใจให้แก่นางอย่างหมดสิ้น มอบทั้งความรัก ความเชื่อใจ และทุกสิ่งที่พระองค์มี
แต่คืนหนึ่ง ที่ดูเหมือนจะเป็นเพียงอีกคืนธรรมดาในพระราชวัง กลับกลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในชีวิตของสุลต่านชารียาห์ พระองค์กลับมาจากการว่าราชการ และพบว่าราชินีผู้เป็นที่รักไม่ได้อยู่ในตำหนักของนาง เมื่อพระองค์ทรงออกตามหา สิ่งที่พระองค์ได้พบคือภาพอันบาดลึกลงในหัวใจ—ราชินีกำลังทรยศต่อพระองค์ในอ้อมกอดของชายคนหนึ่ง
ความรู้สึกที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยความรัก กลับแปรเปลี่ยนเป็นความเกรี้ยวกราดและความเจ็บปวดในชั่วพริบตา พระองค์ทรงสั่งให้ลงทัณฑ์ทั้งราชินีและชายผู้ทรยศอย่างไร้ความปรานี ทว่าถึงแม้จะทรงกำจัดต้นเหตุของความทรยศ พระองค์กลับไม่สามารถกำจัดความเจ็บปวดที่ฝังลึกในหัวใจได้เลย
ตั้งแต่นั้นมา ความเชื่อในความรักและความซื่อสัตย์ของสตรีก็พังทลายไปจากหัวใจของสุลต่านชารียาห์ พระองค์มองว่าสตรีทุกคนล้วนแต่เป็นดั่งหนามแหลมคมที่พร้อมจะทิ่มแทงหัวใจเมื่อใดที่พระองค์เผลอ พระองค์จึงตัดสินใจปิดกั้นหัวใจของตนเอง และเปลี่ยนความอ่อนโยนในอดีตเป็นความเหี้ยมโหด
เพื่อป้องกันไม่ให้ตนเองต้องเผชิญกับความเจ็บปวดเช่นนั้นอีก พระองค์ทรงมีคำสั่งอันน่าหวาดกลัว—ให้แต่งงานกับหญิงสาวผู้หนึ่งทุกวัน แต่ในยามรุ่งสางของวันถัดมา พระองค์จะสั่งประหารเจ้าสาวผู้นั้น เพื่อป้องกันไม่ให้ใครก็ตามมีโอกาสทรยศต่อพระองค์
นี่คือเส้นทางที่ทำให้สุลต่านชารียาห์ ผู้เคยเป็นชายหนุ่มผู้เปี่ยมด้วยความรัก กลายเป็นสุลต่านผู้เย็นชาและป่าเถื่อนที่สุดในประวัติศาสตร์ และนั่นคือเหตุผลที่เชเฮราซาดตัดสินใจว่า เธอจะต้องเป็นผู้หยุดยั้งวงจรแห่งความโหดร้ายนี้ด้วยวิธีการของเธอเอง.
ค่ำคืนนี้ ท้องฟ้าพระราชวังดูเหมือนส่องประกายมากกว่าเดิม นี่อาจเป็นคืนที่เริ่มต้นบทใหม่ ไม่เพียงแต่ในชีวิตของเชเฮราซาด แต่ยังในหัวใจที่เคยเย็นชาของสุลต่านเอง หรือคืนนี้จะเป็นคืนแรกแห่งเรื่องราวที่ไม่มีใครลืมเลือน—คืนที่เชเฮราซาดจะเริ่มต้นบอกเล่าเรื่องราวของเธอ เรื่องราวที่ไม่เพียงแต่จะเปลี่ยนชะตากรรมของเธอเอง แต่ยังเปลี่ยนหัวใจของสุลต่านและชะตาของแผ่นดินทั้งปวง.
ค่ำคืนแห่งชะตากรรม
ในยามราตรีอันเงียบสงัด ท่านราชมนตรีพาเชเฮราซาดเดินผ่านโถงทางเดินยาวที่ปูพรมสีแดงเข้มแห่งพระราชวัง ความยิ่งใหญ่ของสถาปัตยกรรมที่รายล้อมไม่ได้ทำให้หญิงสาวสะท้านกลัว เธอเดินอย่างสง่างาม ทว่าในสายตาของบิดา เขาสัมผัสได้ถึงความเปราะบางซ่อนอยู่ในดวงตาคู่งามที่จับจ้องตรงไปข้างหน้า
เมื่อถึงหน้าห้องบรรทมของสุลต่าน ท่านราชมนตรีหยุดยืน ร่างของเขาสั่นไหวด้วยความลังเล “ลูกเอ๋ย...” เขาเอ่ยเสียงแผ่ว “เจ้ามั่นใจในสิ่งที่เจ้ากำลังทำใช่หรือไม่?”
เชเฮราซาดหันมามองบิดาด้วยแววตาแน่วแน่ เธอยิ้มบางๆ แต่เปี่ยมด้วยความมุ่งมั่น “พ่อของข้า ทุกสิ่งที่ข้าทำคือเพื่อให้ชีวิตของผู้คนดีขึ้น หากนี่คือชะตาของข้า ข้ายินดีจะเผชิญมัน”
ราชมนตรีก้มศีรษะต่ำอย่างหนักอึ้ง เขาผลักประตูเปิดออก ปล่อยให้เชเฮราซาดก้าวผ่านเข้าไปก่อนที่ประตูจะปิดลงเบื้องหลังเธอ
ภายในห้องบรรทม สุลต่านชารียาห์ยืนอยู่กลางห้อง ร่างของพระองค์สูงสง่าในชุดคลุมสีดำประดับทอง พระเนตรจ้องมองเชเฮราซาดขณะเธอก้าวเข้ามาด้วยท่วงท่าที่สงบงาม
“จงเปิดผ้าคลุมของเจ้า” พระองค์ตรัส น้ำเสียงทรงอำนาจ
เชเฮราซาดเงยหน้าขึ้น เธอใช้มือเรียวของตนเปิดผ้าคลุมอย่างช้าๆ เผยให้เห็นโฉมหน้าที่งดงามจนราวกับภาพวาด ดวงตาของเธอเปล่งประกายแต่แฝงไปด้วยน้ำตา สุลต่านชารียาห์แม้จะเย็นชาดั่งหินผา แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าความงามของเธอทำให้หัวใจของเขาสั่นสะเทือน
“ทำไมเจ้าจึงร้องไห้?” เขาถาม ดวงเนตรของเขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ
“ฝ่าบาท” เชเฮราซาดกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแต่จริงจัง “ข้ามีน้องสาวคนหนึ่ง นางรักข้าดุจดั่งชีวิต และข้าก็รักนางเช่นกัน นี่อาจเป็นคืนสุดท้ายที่เราจะได้อยู่ด้วยกัน ข้าขอร้องฝ่าบาท โปรดอนุญาตให้นางอยู่กับข้าในคืนนี้เถิด”
สุลต่านนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนพยักหน้า “ได้ ข้าจะอนุญาต”
ไม่นาน ไดนาร์ซาดถูกส่งตัวเข้ามาในห้องบรรทม นางรีบวิ่งเข้าหาพี่สาวและสวมกอดเธอแน่น ขณะที่สุลต่านนั่งบนบัลลังก์มองดูฉากนี้โดยไร้คำพูด
หนึ่งชั่วโมงก่อนรุ่งสาง ไดนาร์ซาดตื่นขึ้น เธอมองพี่สาวที่ยังนั่งเงียบอยู่ข้างเตียง ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอ้อนวอน “พี่สาวที่รักของข้า ก่อนที่แสงแรกแห่งวันจะมาถึง ได้โปรดเล่าเรื่องราวอันน่าหลงใหลให้ข้าฟัง เพราะนี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าจะได้ยินเสียงที่อบอุ่นของท่าน”
เชเฮราซาดเงียบไปครู่หนึ่ง เธอหันไปมองสุลต่านผู้ซึ่งดูเหมือนจะไม่ได้หลับเลยตลอดทั้งคืน พระองค์นั่งพิงบัลลังก์ สายพระเนตรจับจ้องมาที่เธอ
“ฝ่าบาท” เชเฮราซาดกล่าว “ท่านจะอนุญาตให้ข้าเล่าเรื่องให้ไดนาร์ซาดฟังได้หรือไม่?”
สุลต่านชารียาห์พยักหน้าช้าๆ “ด้วยความเต็มใจ”
เชเฮราซาดสูดลมหายใจลึก เธอเริ่มต้นเล่าเรื่องราวด้วยน้ำเสียงอันอบอุ่นและชัดเจน เสียงของเธอไม่ได้เพียงแต่ดึงดูดไดนาร์ซาด แต่ยังดึงดูดหัวใจของสุลต่านผู้เย็นชาเข้าสู่โลกของเธอโดยไม่รู้ตัว.
คืนแรกในพันราตรี: นิทานเรื่องพ่อค้าและจินนี
ในแสงเทียนที่สะท้อนเงาอ่อนโยนบนผนังห้องบรรทม เชเฮราชาดนั่งสงบเสงี่ยมอยู่ข้างพระแท่นบรรทมของ สุลต่านชารียาห์ ไดนาร์ชาดเอนกายพิงหมอนใบใหญ่ในมุมห้อง จ้องมองพี่สาวด้วยความชื่นชมและคาดหวัง ขณะที่สุลต่านผู้เย็นชานั่งกอดอกอย่างเงียบงัน แต่สายพระเนตรจับจ้องเซเฮราชาดอย่างไม่อาจละสายตา
"ฝ่าบาท” เชเฮราชาดเอ่ยด้วยเสียงอ่อนหวาน "คืนนี้ ข้าขอเล่านิทานเรื่องหนึ่ง ซึ่งข้าเชื่อว่าจะทำให้ฝ่าบาททรง เพลิดเพลินและได้นำพาเราเข้าสู่ค่ำคืนที่ยาวนานอย่างรื่นรมย์"
สุลต่านพยักหน้า “เริ่มเถิด ข้ารอฟังอยู่"
เชเฮราชาดเริ่มเล่า:
"นานมาแล้วในดินแดนแห่งทรายและแสงอาทิตย์..."
มีพ่อค้าผู้หนึ่งซึ่งร่ำรวยด้วยทรัพย์สมบัติมหาศาล เขาค้าขายกับเมืองต่างๆ และเดินทางอย่างไม่หยุดยั้ง วัน หนึ่ง ขณะที่เขาขึ้นม้าฝ่าความร้อนแรงของดวงอาทิตย์กลางทะเลทราย เขารู้สึกอ่อนล้า เขาจึงหยุดพักใต้ต้นไม้ ใหญ่ที่ทอดร่มเงาเย็นสบาย
เขาหยิบขนมปังแห้งและอินทผลัมจากกระเป๋าอานม้า เพื่อละศีลอดตามธรรมเนียม เมื่อกินเสร็จ เขาก็โยนเมล็ดอินทผลัมออกไปโดยไม่คิดอะไร
แต่ทันใดนั้นเอง ท้องฟ้าที่สดใสกลับหม่นหมองด้วยพายุทรายที่พัดโหมเข้ามา และในพริบตา ร่างของจินนีสูงใหญ่ดั่งภูเขาก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา ดวงตาของมันลุกวาวด้วยความโกรธ มือหนึ่งถือดาบขนาดมหึมาที่ดูเหมือนพร้อมจะสังหารในทันที
"เจ้าพ่อค้า!” จินนีคำราม "เจ้าฆ่าลูกชายของข้า!"
พ่อค้าตัวสั่นด้วยความตกใจ "ท่านพูดถึงอะไร? ข้าไม่เคยพบหรือแตะต้องบุตรชายของท่านเลย"
"เจ้าโยนเมล็ดอินทผลัมออกไป" จินนีพูดต่อด้วยเสียงที่ดังก้อง “และมันพุ่งเข้ากลางอกลูกชายของข้าจนเขาสิ้นใจในทันที!"
พ่อค้าทรุดตัวลงกับพื้น น้ำตาไหลอาบแก้ม "หากข้ากระทำผิด ข้าขออภัย โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย"
"ไม่มีการอภัย" จินนีประกาศ “ข้าจะฆ่าเจ้า!"
"ถึงตอนนี้ พ่อค้ากล่าวบทกลอนที่สะท้อนถึงความไม่เที่ยงของชีวิต..." เซเฮราชาดหยุดเล็กน้อย สายตาเธอจับจ้องสุลต่านชารียาห์ที่ดูเหมือนจะฟังอย่างตั้งใจ
“เจ้ากลอนนั้นว่าอย่างไร?" สุลต่านถาม น้ำเสียงของเขาแม้จะยังเยือกเย็น แต่ดวงพระเนตรกลับเปล่งประกายแห่งความสงสัย
เชเฮราชาดยิ้มบาง ก่อนเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน:
"เวลามีสองวัน คือวันแห่งพรและวันแห่งความหายนะ ชีวิตมีสองครึ่ง คือครึ่งแห่งความสุขและครึ่งแห่งความทุกข์..."
"สองวัน สองชะตา"
มีวันที่เป็นพรและวันแห่งหายนะ ชีวิตถูกแบ่งเป็นสองครึ่ง-หนึ่งครึ่งเต็มไปด้วยความสุข อีกครึ่งจมอยู่ในความทุกข์
ท่านเคยมองเห็นไหม?
เมื่อพายุเฮอร์ริเคนโหมกระหน่ำ ป่าทั้งผืนสั่นสะท้าน ไม่มีใครรู้สึกถึงความทุกข์ของมัน ยกเว้นยักษ์ผู้ปกป้องป่า
ต้นไม้จำนวนมากแผ่ร่มเงา หล่อเลี้ยงชีวิต ทั้งที่แห้งแล้งและเขียวชอุ่ม-แต่มีเพียงต้นไม้ที่แห้งกรังเท่านั้น ที่ส่งเสียงสะอื้น
ท่านไม่เห็นหรือ?
ศพที่ลอยขึ้นมาบนผิวน้ำ ขณะที่ไข่มุกล้ำค่าซ่อนตัวอยู่ใต้มหาสมุทรลึก
บนฟากฟ้า ดวงดาวนับไม่ถ้วนส่องแสง-แต่แม้ดวงดาวเหล่านั้นก็ไม่อาจบดบังสุริยุปราคา
ท่านเคยใคร่ครวญไหม?
วันเวลาที่ดำเนินไปอย่างสงบสุขได้พรากความเจ็บปวดในอดีตออกจากใจเจ้าแล้ว
ค่ำคืนปกป้องเจ้ามานับครั้งไม่ถ้วน นำความปลอดภัยมาให้เจ้า แต่ความปลอดภัยนั้นคือผู้ก่อหายนะ ความสุขในยามค่ำคือดาบสองคม...
เมื่อพ่อค้าหยุดร่ายบทกวีของเขา อิฟริตยักษ์ร้ายกล่าวเสียงกร้าวว่า "ข้าสาบานต่อสวรรค์! ข้าจะฆ่าเจ้าให้สิ้นซาก!"
พ่อค้าก้มหน้าด้วยความหวาดกลัวแต่ยังกลั้นใจตอบว่า "โอ อิฟริต จงฟังเถิด ข้ามีหนี้สินมากมาย ทรัพย์สมบัติที่ต้องจัดการ ลูกเมียที่ต้องดูแล และพันธสัญญาอีกมากมายที่ยังไม่เสร็จสิ้น โปรดให้โอกาสข้ากลับไปสะสางทุกสิ่ง ขอเวลาเพียงหนึ่งปี และข้าสาบานต่อสวรรค์ว่าข้าจะกลับมาหาท่าน! จากนั้นท่านจะทำกับข้าตามใจปรารถนา ขอสวรรค์เป็นพยานต่อคำมั่นนี้!"
อิฟริตนิ่งคิดก่อนกล่าวว่า “ก็ได้ ข้าจะให้เวลาหนึ่งปี แต่จงอย่าลืมคำมั่นของเจ้า หากเจ้าไม่กลับมา ข้าจะตามล่าเจ้าให้ถึงที่สุด!"
เมื่ออิฟริตปล่อยตัว พ่อค้ากลับไปยังบ้านเกิด รีบสะสางหนี้สินและทรัพย์สิน แจ้งข่าวร้ายให้ภรรยาและลูกทราบ พร้อมแต่งตั้งผู้ดูแลทุกสิ่งแทนตน เวลาผ่านไปหนึ่งปีเต็ม พ่อค้าลุกขึ้นชำระร่างกายเตรียมตัวเผชิญชะตากรรม เอาผ้าห่อศพไว้ใต้แขน ก่อนกล่าวคำอำลาเพื่อนบ้านและครอบครัวที่ร่ำไห้อย่างสิ้นหวัง
ในวันปีใหม่ พ่อค้าเดินทางมาถึงสวนที่เป็นที่นัดหมาย เขานั่งลงด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง ไม่นานนัก ชายชราผู้หนึ่งจูงละมั่งตัวหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ เขาทักพ่อค้าด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “เหตุใดท่านจึงมานั่งที่นี่? สถานที่นี้เป็นถิ่นของวิญญาณร้าย"
เมื่อพ่อค้าเล่าเรื่องราวให้ฟัง ชายชราก็ตกใจและกล่าวว่า "โอ้ พี่ชาย! เรื่องราวของท่านช่างน่าประหลาดนัก ศรัทธาของท่านยิ่งใหญ่นัก ข้าจะอยู่กับท่านจนเห็นชะตากรรมของท่านและอิฟริตนี้”
ระหว่างที่ทั้งสองสนทนากัน ชายชราผู้ที่สองก็ปรากฏตัวพร้อมสุนัขเกรย์ฮาวด์สองตัว “เหตุใดพวกท่านจึงมาที่นี่ ที่ซึ่งเต็มไปด้วยอันตราย?" เขาถาม ก่อนจะนั่งฟังเรื่องราวอย่างตั้งใจ
ต่อมา ชายชราผู้ที่สามมาถึงพร้อมลาตัวเมียสวมเสื้อคลุมสีน้ำตาล หลังฟังเรื่องราว ชายชราทั้งสามต่าง แสดงความเห็นใจต่อพ่อค้า
ทันใดนั้น ทรายก็ปลิวตลบ เมฆมืดเปิดออก เผยให้เห็นอิฟริตถือดาบเปล่งแสงในมือ ดวงตาแดงฉานด้วยโทสะ “ลุกขึ้นมาสิ เจ้าฆ่าลูกชายข้า ผู้เป็นหัวใจของข้า! วันนี้เจ้าต้องชดใช้!”
พ่อค้าร่ำไห้สะอึกสะอื้น ชายชราทั้งสามถอนใจด้วยความสงสาร ชายชราผู้จูงละมั่งก้าวไปข้างหน้าและกล่าวว่า “โอ อิฟริต เจ้ามงกุฎแห่งจันน์! หากข้าเล่าเรื่องของข้ากับละมั่งตัวนี้ และเจ้าคิดว่ามันแปลกประหลาด เจ้าจะยอมมอบชีวิตพ่อค้านี้ให้ข้าส่วนหนึ่งได้หรือไม่?"
อิฟริตตอบด้วยเสียงต่ำก้อง “ถ้าเรื่องของเจ้าทำให้ข้าประหลาดใจ ข้าจะให้หนึ่งในสามส่วน"
ชายชราเริ่มเล่าเรื่องราวของเขา ขณะที่ทุกคนรอฟังด้วยลมหายใจที่กลั้นไว้ ความหวังสุดท้ายของพ่อค้า ขึ้นอยู่กับความมหัศจรรย์ที่กำลังถูกเปิดเผย...
เสียงของเธอหวานล้ำและดังกังวานในความเงียบของค่ำคืน สุลต่านเอนกายพิงพนัก ราวกับคำพูดเหล่านั้นพา เขาไปยังโลกอันไกลโพ้น
เรื่องราวของเชคคนแรก “คำสั่งสุดท้ายของละมั่ง" ก็เริ่มต้น
โปรดทราบว่า ละมั่งตัวนี้เป็นลูกสาวของลุงข้าพเจ้า เธอเป็นญาติสนิทของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าแต่งงานกับเธอตั้งแต่เธอยังสาว และเราใช้ชีวิตร่วมกันมาเกือบสามสิบปี แต่โชคร้ายที่เราไม่มีลูกด้วยกัน ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงแต่งงานกับนางสนมคนหนึ่ง ซึ่งมอบพรให้ข้าพเจ้าด้วยลูกชายที่งดงาม ราวกับพระจันทร์เต็มดวง ดวงตาสุกสกาว คิ้วเรียงตัวสวยงาม และรูปร่างสมบูรณ์แบบ
ลูกชายของข้าพเจ้าเติบโตขึ้นเรื่อยๆ และเมื่ออายุได้สิบห้าปี ข้าพเจ้าจำเป็นต้องเดินทางไปยังเมืองต่างๆ พร้อมข้าวของมากมาย ระหว่างนั้น ลูกสาวของลุงข้าพเจ้า ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญงานสวนและการจัดการมาตั้งแต่เด็ก ได้วางแผนร้ายกับลูกชายและนางสนมของข้าพเจ้า เธอหลอกล่อลูกชายข้าพเจ้าให้ไปหาลูกวัว และลวงให้นางสนม (แม่ของเขา) ไปหาลูกโค จากนั้นส่งพวกเขาให้คนเลี้ยงสัตว์ดูแล
เมื่อข้าพเจ้ากลับมาจากการเดินทาง ข้าพเจ้าถามหาลูกชายและนางสนม แต่ได้คำตอบว่า “ทาสสาวของท่านเสียชีวิตแล้ว และลูกชายของท่านหนีไป ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าเขาอยู่ที่ไหน” ข้าพเจ้าต้องอยู่ด้วยความโศกเศร้าตลอดปี จนกระทั่งถึงเทศกาลใหญ่ของอัลลอฮ์ ข้าพเจ้าสั่งให้คนเลี้ยงสัตว์นำลูกวัวอ้วนมาให้
เมื่อคนเลี้ยงสัตว์พาลูกวัวมา ข้าพเจ้าตั้งใจจะฆ่ามัน แต่ลูกวัวร้องไห้และส่งเสียงโหยหวน ข้าพเจ้าจึงเกิดความสงสารและหยุดมือ สั่งให้หาอีกตัวแทน ทว่าลูกสาวของลุงข้าพเจ้าตะโกนว่า “ฆ่ามันซะ! ไม่มีตัวไหนอ้วนและงดงามกว่านี้อีกแล้ว” ข้าพเจ้าพยายามลงมืออีกครั้ง แต่ลูกวัวร้องเสียงดังจนข้าพเจ้าอดกลั้นไว้ไม่ได้
สุดท้าย ข้าพเจ้าสั่งให้คนเลี้ยงสัตว์ฆ่าและถลกหนังลูกวัวตัวนั้น ทว่าเมื่อทำสำเร็จ กลับพบว่าในตัวลูกวัวไม่มีเนื้อหรือไขมัน มีเพียงหนังและกระดูก ข้าพเจ้ารู้สึกสำนึกผิด แต่ไม่อาจแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ข้าตัดสินใจส่งร่างละมั่ง -ผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นหญิงสาวผู้เป็นภรรยาของข้า-ให้กับคนเลี้ยงสัตว์ และสั่งเขาว่า "ไปนำลูกวัวตัว อ้วนที่สุดมาให้ข้าเสียเถิด"
วันต่อมา คนเลี้ยงสัตว์นำลูกวัวตัวหนึ่งมาให้ และข้าแทบไม่เชื่อสายตา ลูกวัวนั้นคือลูกชายของข้าที่ถูก สาป มันมองข้าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอ้อนวอน เมื่อเชือกที่ผูกมันไว้ขาด มันก็วิ่งตรงมาหาข้าด้วย เสียงร้องโอดโอย หัวใจข้าสั่นไหวเหมือนมีมือที่มองไม่เห็นบีบมันไว้ ข้าไม่อาจทำลายชีวิตที่ข้ารักได้อีกต่อ ไป
ข้าจึงพูดกับคนเลี้ยงสัตว์ "เอาลูกวัวตัวเมียตัวอื่นมาให้ข้าเถิด ปล่อยลูกวัวตัวนี้ไป” แต่ก่อนที่คำสั่งของ ข้าจะเป็นผล ละมั่ง-หญิงผู้เคยเป็นภรรยาข้า-ร้องขึ้นอย่างไม่พอใจ เสียงของเธอเยียบเย็นราวกับคม มีด “เจ้าจะต้องฆ่าลูกวัวตัวนี้ วันนี้เป็นวันศักดิ์สิทธิ์ และสิ่งเดียวที่สมควรถูกสังเวยคือสิ่งที่บริสุทธิ์และ สมบูรณ์ที่สุด!"
ข้าหยุดนิ่ง มองเธอด้วยความสงสัยและโกรธแค้น “เจ้าจำไม่ได้หรือว่าลูกวัวตัวก่อนหน้าเป็นอย่างไร? สิ่ง ที่เราได้จากมันคือความสูญเปล่าและความเสียใจ ข้าจะไม่ยอมให้เหตุการณ์ซ้ำรอย!"
เธอแค่นยิ้มแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน "หากเจ้าไม่ฆ่าลูกวัวตัวนี้ เจ้าก็ไม่ใช่ผู้ชายอีกต่อไป และข้าก็จะ ไม่ใช่ภรรยาของเจ้าอีก!"
คำพูดของเธอเหมือนเข็มที่แทงลึกในใจข้า ข้าหวาดหวั่น ไม่รู้ว่าควรเชื่อฟังเธอหรือทำตามหัวใจตัวเอง ท่ามกลางความลังเล ข้าหยิบมีดขึ้นในมือ ก้าวเข้าไปหาลูกวัวผู้ซึ่งตอนนี้กำลังร้องไห้ ขณะที่ข้ากำลังจะเชื้อ มีดขึ้น เสียงสะอื้นของมันดังขึ้นราวกับกำลังขอร้องให้ข้าฟัง
หัวใจของข้าสั่นไหวเป็นครั้งสุดท้าย ข้าหยุดมือและหันไปเผชิญหน้ากับละมั่ง "พอเถิด ข้าจะไม่ปล่อยให้ ความบ้าคลั่งครอบงำาข้าอีกต่อไป เจ้าจะไม่ได้เห็นเลือดลูกวัวตัวนี้หลั่งออกมา!"
— ในจังหวะนั้น แสงอาทิตย์แห่งรุ่งเช้าสาดส่องเข้ามาและชาห์ราซาดเห็นรุ่งอรุณของวันแล้วจึงหยุดพูดสิ่งที่เธออนุญาต “เรื่องราวในคืนนี้จบลงเพียงเท่านี้”
“เรื่องของพี่ช่างงดงามและน่าประทับใจเหลือเกิน ช่างซาบซึ้งใจ ช่างน่ารัก และช่างมีรสนิยมดีเหลือเกิน!” แล้วดินาร์ซาดเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้น "แล้วจินนียอมปล่อยพ่อค้าหรือไม่?"
“ข้าจะเล่าต่อในคืนพรุ่งนี้ หากฝ่าบาททรงเมตตายอมให้ข้ามีชีวิตต่อ" เชเฮราชาดเอ่ยเสียงเบา ทว่าหนักแน่น
สุลต่านชารียาห์นิ่งเงียบ ก่อนตรัสในที่สุด “ข้าจะรอฟังตอนต่อไปของเจ้า"
ทั้งคู่จึงนอนหลับกอดกันตลอดคืนนั้นจนกระทั่งรุ่งเช้า จากนั้นพระราชาเสด็จออกไปยังห้องเฝ้า ส่วนวาซีร์ก็ขึ้นไปพร้อมกับผ้าห่อพระศพของพระธิดาอยู่ใต้พระหัตถ์ พระราชาทรงออกคำสั่งและทรงส่งเสริมทั้งเรื่องนี้และเรื่องนั้นจนกระทั่งสิ้นวัน และพระองค์ไม่ได้ทรงบอกวาซีร์เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เสนาบดีรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง และเมื่อราชสำนักยุติลง กษัตริย์ชาฮ์ริยาร์ก็เสด็จเข้าไปในพระราชวัง
หลังจากสิ้นสุดการว่าราชการอันหนักหน่วงในวันนั้น พระราชาชาฮ์ริยาร์เสด็จกลับเข้าสู่พระราชวัง ขณะที่เดินผ่านโถงยาวที่ประดับด้วยเสาหินอ่อนและม่านสีทอง พระองค์พบเชเฮราซาดกำลังนั่งอยู่ในสวนหลวง ใต้ร่มเงาของต้นปาล์มใหญ่ นางมีหนังสือในมือเล่มหนึ่ง อ่านด้วยท่าทีสงบและนุ่มนวล
ชาฮ์ริยาร์หยุดมองภาพนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเสด็จเข้าไปหาอย่างเงียบงัน ราวกับไม่อยากรบกวนช่วงเวลาของนาง เชเฮราซาดเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงฝีพระบาท และลุกขึ้นยืนในทันที
“ท่านกลับมาแล้วเพคะ” น้ำเสียงของนางยังคงนุ่มนวลเช่นเดิม
พระราชาทรงพยักหน้าเล็กน้อย พลางทอดพระเนตรไปยังโต๊ะไม้เล็กๆ ที่ตั้งอยู่ใต้ร่มเงา มีกาน้ำชาและถาดขนมอบวางไว้อย่างประณีต “เจ้าชอบนั่งที่นี่หรือ?”
“เพคะ เงียบสงบและร่มเย็น ข้าพระองค์ชอบฟังเสียงลมที่พัดผ่านต้นไม้”
คำตอบของนางทำให้พระองค์ทรงประหลาดใจเล็กน้อย เชเฮราซาดไม่ได้ดูหวาดกลัวหรือประจบสอพลอเหมือนหญิงอื่น แต่คำพูดของนางเต็มไปด้วยความจริงใจ
“อาหารค่ำใต้แสงจันทร์”
หลังจากนั้นไม่นาน พระราชาตรัสขึ้นว่า “หากเจ้าชอบนั่งที่นี่ เช่นนั้นเราอย่าปล่อยให้ถาดขนมนี้รอเก้อ”
เชเฮราซาดประหลาดใจ แต่ก็ยิ้มรับคำเชิญ พระราชาประทับลงตรงข้ามนางอย่างง่ายดายราวกับเป็นคนธรรมดา ผู้รับใช้รีบเข้ามาเติมชาในถ้วยทันที ก่อนจะถอยออกไปอย่างเงียบงัน
ทั้งสองพูดคุยกันเบาๆ ขณะลิ้มรสขนมอบ เชเฮราซาดเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสวนที่นางเคยเห็นในวัยเยาว์ และพระราชาแม้จะยังคงท่าทีสงบนิ่ง แต่ก็แสดงความสนพระทัยในคำพูดของนาง
เมื่อเวลาผ่านไป ดวงจันทร์เริ่มลอยสูงขึ้นบนฟ้า พระราชาทรงลอบมองนางผ่านแสงจันทร์ที่ตกกระทบใบหน้านวลใสของนาง นางมีบางสิ่งที่ต่างจากหญิงใดที่พระองค์เคยพบ ความสง่างามที่ไม่ได้มาจากความมั่งคั่งหรืออำนาจ แต่มาจากจิตใจที่งดงาม
“เจ้าไม่กลัวข้าหรือ เชเฮราซาด?” พระองค์ถามขึ้นเบาๆ
นางเงยหน้าขึ้นสบพระเนตร ดวงตาคู่งามของนางเต็มไปด้วยความกล้าหาญและอ่อนโยน “ข้าพระองค์เลือกที่จะเชื่อในความเมตตาของพระองค์เพคะ”
คำพูดของนางสะท้อนอยู่ในใจของพระราชา แม้พระองค์จะยังไม่ได้เอื้อนเอ่ยคำใด แต่หัวใจที่เย็นชาของพระองค์ก็เริ่มรู้สึกถึงความอบอุ่นที่ค่อยๆ ก่อร่างขึ้น
คืนนั้น พระองค์ทรงประทับอยู่ในสวนหลวงกับเชเฮราซาดนานกว่าที่เคย ก่อนจะเสด็จกลับไปยังห้องบรรทมพร้อมความคิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน... บางทีนางอาจจะต่างจากคนอื่นจริงๆ
เมื่อถึงคืนที่สองในพันราตรี:
ในยามราตรีที่เงียบสงบภายในพระราชวัง น้องสาวของนางกล่าวกับนางว่า “โปรดเล่านิทานนี้ให้พวกเราฟังจนจบเถิด แล้วท่านจะไม่ง่วงนอน!”
เชเฮราซาดประทับนั่งอย่างสง่างามใต้แสงโคมไฟที่ส่องสว่างอ่อนโยน นางหันไปหาน้องสาวที่นั่งอยู่ไม่ไกล ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า "ได้โปรดรออีกครู่เถิด ข้าพเจ้าจะเล่าเรื่องราวนี้ต่อจนจบ หากกษัตริย์ผู้สูงศักดิ์ทรงอนุญาต"
สุลต่านชาฮ์ริยาร์ทอดพระเนตรนางอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตรัสเบาๆ แต่ชัดเจนว่า
"จงเล่าต่อเถิด เราอยากฟังเรื่องของเจ้า"
เชเฮราซาดพยักหน้าน้อมรับและเริ่มต้นถ่ายทอดนิทานต่อ ด้วยน้ำเสียงที่ชวนหลงใหล ราวกับดนตรีที่ไหลลื่นในความมืดมิด
นิทานที่ถูกถ่ายทอดต่อจากเมื่อคืนนี้ว่า: “...พ่อค้าเมื่อได้ยินคำพูดของบุตรสาวคนเลี้ยงสัตว์ก็เต็มไปด้วยความหวัง เขารีบไปพบลูกสาวของคนเลี้ยงที่มีความสามารถในการใช้มนต์ และเมื่อเธอพรมน้ำมนต์ลงบนลูกวัวตัวนั้น แสงสว่างเจิดจ้าก็เปล่งประกาย และลูกวัวตัวนั้นกลับกลายเป็นชายหนุ่มรูปงามดั่งเจ้าชายจากตำนาน
พ่อค้ากอดลูกชายไว้แน่น น้ำตาแห่งความปิติหลั่งไหลไม่ขาดสาย เขาได้รู้เรื่องราวของแม่ที่ถูกสะกดและถูกฆ่าโดยไม่ตั้งใจ แต่ด้วยการให้อภัยและการเสียสละ เขาเลือกที่จะปล่อยวางความแค้นต่ออดีต และสร้างอนาคตใหม่ให้แก่ลูกชายและหญิงสาวที่ช่วยเหลือเขา..."
ในวันหนึ่ง เมื่อพ่อค้าผู้มั่งคั่งตัดสินใจจะบูชายัญลูกวัว เขาได้ยินเสียงร้องโหยหวนของมัน เสียงนั้นแฝงไว้ด้วยความโศกเศร้าและความสิ้นหวังจนทำให้หัวใจของเขาอ่อนลงอย่างไม่ทันตั้งตัว เขาเอ่ยกับคนเลี้ยงสัตว์ว่า
“จงเลี้ยงลูกวัวตัวนี้ไว้ในฝูงของเราเถิด มันดูเหมือนมีชะตาที่สำคัญ”
เมื่อเวลาผ่านไป ชีคชราผู้ชาญฉลาด เล่าเรื่องราวนี้ให้ญินผู้ประหลาดใจฟัง เจ้าของละมั่งที่นั่งฟังอยู่ด้วย กล่าวเสริมด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยว่า
“ข้าแต่ท่านผู้สูงศักดิ์ เหตุการณ์นี้ไม่ได้จบแค่นั้น ลูกสาวของลุงของข้าพเจ้าผู้โลภมากเห็นลูกวัวตัวนี้แล้วสั่งให้ฆ่ามันโดยไม่ไยดี ด้วยเหตุเพียงว่ามันดูอ้วนพี ข้าพเจ้าจึงสั่งให้คนเลี้ยงนำมันไปดูแลแทน”
เช้าวันรุ่งขึ้น คนเลี้ยงสัตว์รีบร้อนเข้ามาหาพ่อค้าด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“นายท่าน ข้าพเจ้ามีเรื่องสำคัญจะบอก! มันจะทำให้ท่านยินดีนัก”
เมื่อพ่อค้าพยักหน้ารับฟัง คนเลี้ยงก็กล่าวต่อ
“ลูกสาวของข้าพเจ้าเป็นผู้มีความรู้ในเวทมนตร์ เมื่อวานนี้ เมื่อเธอเห็นลูกวัวตัวนั้น เธอร้องไห้และหัวเราะอย่างไม่เข้าใจ แต่แล้วเธอกล่าวว่า ‘โอ้พ่อ ลูกวัวนี้คือบุตรชายของนายของเรา มันถูกแม่เลี้ยงของเขาสาปให้กลายเป็นสัตว์ และแม่ของมันก็ถูกฆ่าโดยไม่ตั้งใจ’
เมื่อพ่อค้าได้ยิน เขารีบไปหาลูกสาวของคนเลี้ยงสัตว์ทันที เด็กสาวผู้ฉลาดกล่าวว่า
“ลูกวัวตัวนี้เป็นลูกชายของท่าน หากท่านต้องการให้เขากลับมา ข้าสามารถช่วยได้ แต่มีเงื่อนไขสองประการ หนึ่ง คือท่านต้องให้ข้าสมรสกับเขา สอง คือข้าจะต้องสะกดแม่เลี้ยงของเขาเพื่อให้เธอไม่สามารถกลับมาทำร้ายใครได้อีก”
พ่อค้าตอบตกลงทันที เด็กสาวจึงหยิบถ้วยน้ำมนต์มา พรมน้ำลงบนลูกวัว พร้อมท่องคาถาว่า
“หากเจ้าเป็นลูกวัวโดยกำเนิด จงอยู่อย่างนี้ตลอดไป แต่หากเจ้าถูกสาป จงกลับคืนร่างมนุษย์เถิด!”
ทันใดนั้น ลูกวัวสั่นสะท้าน และเปลี่ยนกลับเป็นชายหนุ่มรูปงาม พ่อค้าถึงกับน้ำตาไหลขณะโอบกอดบุตรชาย
ด้วยความยินดีที่ได้รับบุตรชายกลับมา พ่อค้าตกลงแต่งงานลูกชายกับเด็กสาว และให้เธอจัดการกับแม่เลี้ยงของเขาด้วยคาถาแห่งความยุติธรรม แม่เลี้ยงถูกเปลี่ยนเป็นละมั่งที่สวยงาม เพื่อให้เธอใช้ชีวิตอย่างสงบและไม่สร้างความทุกข์ให้ใครอีก หลังจากนั้น เธออยู่กับเราทั้งกลางวันและกลางคืน จนกระทั่งพระผู้เป็นเจ้าทรงรับเธอไปเป็นของพระองค์ เมื่อเธอเสียชีวิต ลูกชายของฉันได้ออกเดินทางไปยังเมืองต่างๆ ของฮินด์ แม้กระทั่งไปยังเมืองของชายคนนี้ที่ได้ทำสิ่งที่เธอทำกับท่าน และฉันก็รับละมั่งตัวนี้ (ลูกพี่ลูกน้องของฉัน) และพาเธอเดินเตร่ไปตามเมืองต่างๆ เพื่อตามหาข่าวคราวเกี่ยวกับลูกชายของฉัน จนกระทั่งโชคชะตาพาฉันไปที่นั่นและเห็นพ่อค้านั่งร้องไห้อยู่ เรื่องราวของฉันเป็นเช่นนี้!
จินนี่กล่าวว่า “เรื่องนี้เป็นเรื่องแปลกประหลาดจริงๆ ดังนั้น ฉันจึงมอบเลือดของเขาให้เจ้าหนึ่งในสามส่วน”
จากนั้นชายชราคนที่สองซึ่งเป็นเจ้าของสุนัขเกรย์ฮาวนด์สองตัวก็เข้ามาหาและกล่าวว่า
“จินนี่ ถ้าฉันเล่าให้ท่านฟังถึงเรื่องราวที่พี่ชายของฉันเล่าให้ฉันฟังเกี่ยวกับสุนัขเกรย์ฮาวนด์สองตัวนี้ และท่านเห็นว่ามันเป็นเรื่องราวที่น่าอัศจรรย์และน่าพิศวงยิ่งกว่าที่ท่านได้ยินมา ท่านจะมอบเลือดของชายคนนี้หนึ่งในสามส่วนให้ฉันด้วยหรือไม่”
จินนี่ตอบว่า “เจ้าพูดถูก ถ้าการผจญภัยของเจ้าน่าอัศจรรย์และน่าพิศวงยิ่งกว่านี้”
เชคคนที่สอง เจ้าของสุนัขเกรย์ฮาวนด์สองตัว ก้มศีรษะด้วยความนอบน้อมก่อนเริ่มเล่าเรื่องของเขา
เรื่องราวของเชคคนที่สอง “การผจญภัยของเชคและสุนัขเกรย์ฮาวนด์สองตัว” ก็เริ่มต้น
“ข้าแต่พระเจ้าของบรรดากษัตริย์แห่งจันน์...” เสียงทุ้มนุ่มของชายคนหนึ่งเริ่มต้นขึ้น ขณะที่เขากำลังเล่าเรื่องราวอันน่าเหลือเชื่อให้ฟัง โดยสรุปย้อความได้ว่า: เขามีพี่น้องสองคนที่กลายเป็นสุนัขในปัจจุบัน ทั้งสามคนได้รับมรดกจากบิดาคนละ 1,000 เหรียญทอง เชคคนที่สองเปิดร้านค้าและทำธุรกิจ ส่วนพี่ชายทั้งสองออกเดินทางไปทำการค้าต่างแดน แต่กลับล้มเหลว เมื่อพวกเขากลับมาหมดตัว เชคคนที่สองแบ่งเงินและช่วยให้พวกเขาเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
ต่อมา พี่น้องทั้งสองชวนเชคคนที่สองเดินทางด้วยกัน แม้เขาจะไม่เต็มใจ แต่ด้วยความรักในครอบครัว เขาจึงยอมร่วมเดินทาง พวกเขาขายของจนได้กำไรมากมาย ระหว่างนั้น เชคคนที่สองพบหญิงสาวผู้ยากไร้ริมฝั่งทะเล เขารับเธอมาเป็นภรรยาโดยไม่รู้ว่าเธอเป็น "จินเนียห์" หรือปีศาจหญิง
เมื่อพี่ชายทั้งสองเห็นเชคคนที่สองมีทั้งทรัพย์สินและภรรยาผู้เลอโฉม จึงเกิดความอิจฉา พวกเขาคิดฆ่าเชคคนที่สองและโยนเขากับภรรยาลงทะเล แต่ภรรยาของเขาช่วยไว้ทันโดยใช้เวทมนตร์ และพาเขากลับบ้านได้อย่างปลอดภัย
ภรรยาของเขาโกรธมากและต้องการแก้แค้นพี่ชายทั้งสอง แต่เชคคนที่สองขอร้องให้ปล่อยพวกเขาไป ภรรยาของเขาจึงเสกให้พี่ชายทั้งสองกลายเป็นสุนัข และสัญญาว่าจะปล่อยให้กลับมาเป็นคนหลังจากครบสิบปี
เมื่อเธอบอกเขาว่า "ฉันส่งข่าวไปหาพี่สาวของฉัน และเจ้าก็ขอร้องพวกเขาตามนี้ และอย่าปล่อยให้พวกมันทั้งสองตัวออกจากสภาพปัจจุบันนี้จนกว่าจะผ่านไปสิบปี" และตอนนี้ เขามาถึงที่นี่แล้วระหว่างทางไปหาพี่สาวของภรรยาของเขา เพื่อที่เธอจะได้ช่วยพวกมันให้พ้นจากสภาพนี้ หลังจากที่พวกมันทนทุกข์ทรมานมาครึ่งสิบปี ขณะที่เขาเดินต่อไป เขาเห็นเชคคนนี้ ซึ่งบอกเขาว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา “และข้าตั้งใจว่าจะไม่อยู่ที่นี่จนกว่าจะได้เห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้นระหว่างท่านกับเขา นี่คือเรื่องราวของข้า!”
จากนั้นญินก็พูดว่า จินนี่กล่าวว่า “เรื่องนี้เป็นเรื่องแปลกประหลาดจริงๆ ดังนั้น ข้าจึงมอบเลือดของเขาให้เจ้าหนึ่งในสามส่วน”
จากนั้นเชคคนที่สามซึ่งเป็นเจ้านายของลาตัวผู้ก็กล่าวกับญินว่า
“ข้าสามารถเล่านิทานที่น่าอัศจรรย์ยิ่งกว่าสองเรื่องนี้ให้ท่านฟังได้ ดังนั้นท่านโปรดมอบเลือดและความผิดของเขาที่เหลือให้แก่ข้าพเจ้าด้วย”
ญินตอบว่า “ขอให้เป็นเช่นนั้นเถิด!” จากนั้นชายชราก็เริ่มเล่า
เรื่องราวของเชคคนที่สาม "ความรัก... ความไว้วางใจ... และความทรยศ" ก็เริ่มต้น
จงรู้เถิด สุลต่านผู้ยิ่งใหญ่ เรื่องราวของข้าคือเรื่องราวที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ข้าเคยมีภรรยาที่ข้ารักสุดหัวใจ นางงดงามและมีเสน่ห์จนข้าไม่อาจละสายตาได้ ข้าเชื่อมั่นในนาง... ทว่าโชคชะตากลับเล่นตลกร้าย
วันหนึ่ง ข้าออกเดินทางค้าขายเป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม ด้วยหวังว่าวันคืนที่ยากลำบากจะนำพาความมั่งคั่งกลับมาให้ครอบครัวของข้า แต่เมื่อข้ากลับมาถึงบ้านในคืนหนึ่ง ข้าได้เห็นภาพที่บาดลึกในใจ—นางนอนอยู่เคียงข้างชายแปลกหน้า ทั้งคู่หัวเราะ หยอกล้อกันโดยไม่สนใจว่าใครจะมาเห็น
หัวใจของข้าราวกับถูกฉีกเป็นชิ้นๆ ข้าก้าวเข้าไปเผชิญหน้านาง นางลุกขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มเยือกเย็น ก่อนจะร่ายเวทย์บางอย่างแล้วพ่นน้ำมนต์ใส่ข้า พร้อมคำพูดแสนโหดร้าย:
"จงกลายเป็นสุนัขเสียเถอะ เจ้าไร้ค่าที่สุด"
ในพริบตาเดียว ข้าก็กลายเป็นสุนัขตัวหนึ่ง นางไล่ข้าออกจากบ้านโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง ข้าต้องเร่ร่อนกลางถนนอย่างไร้จุดหมาย จนกระทั่งข้าได้พบกับชายผู้ใจดี เขาพาข้าเข้าไปในบ้านของเขา
แต่ที่น่าแปลกคือ เมื่อลูกสาวของชายผู้นั้นเห็นข้า นางก็ตะโกนออกมา:
"ท่านพ่อ สุนัขตัวนี้คือชายที่ถูกสาป!"
นางเป็นผู้หญิงที่มีเวทย์มนต์ นางช่วยข้ากลับคืนร่างเดิม และเมื่อข้าเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง นางจึงมอบน้ำมนต์วิเศษให้ พร้อมกับคำสั่งว่า:
"เมื่อเจ้าพบนาง จงพรมน้ำนี้ใส่ตัวนาง และกล่าวคำที่ข้าได้บอกไป นางจะกลายเป็นอะไรก็ได้ตามที่เจ้าปรารถนา"
ข้ากลับบ้านไปและพบภรรยาหลับสนิท ข้าพรมน้ำมนต์ใส่นาง พร้อมกล่าวว่า:
"จงกลายเป็นลาเสียเถอะ เจ้าที่ทรยศความรักของข้า"
ทันใดนั้น นางก็กลายเป็นลาตัวหนึ่ง และตั้งแต่นั้นมา ข้าพานางไปด้วยทุกที่ เพื่อให้นางได้รับบทเรียนจากการกระทำอันโหดร้ายที่นางก่อไว้
ญินผู้ยิ่งใหญ่ เมื่อชายชราหยุดเล่าเรื่อง ญินก็ถอนหายใจยาวพลางกล่าวว่า:
“เรื่องของเจ้าช่างแปลกประหลาดและน่าเศร้ายิ่งนัก ข้าจะมอบเลือดหนึ่งในสามส่วนของพ่อค้าผู้นั้นให้ท่านตามที่ท่านร้องขอ"
แสงสีทองแห่งรุ่งอรุณแรกของวันใหม่แตะแต้มขอบฟ้า ทอประกายอ่อนโยนลอดผ่านหน้าต่างบานสูงของพระราชวัง ก่อเกิดบรรยากาศอบอุ่นในยามเช้าของนครหลวง ชาห์ราซาดเห็นแสงนั้นจึงหยุดคำเล่าเสียงหวานของเธอ ทิ้งท้ายเพียงความเงียบที่ชวนให้อยากฟังต่อจนใจแทบขาด
ดุนยาซาด น้องสาวผู้ซ่อนตัวอยู่ไม่ไกลนัก เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
"โอ พี่สาวของฉัน เรื่องราวของท่านช่างน่าฟังและไพเราะเหลือเกิน ช่างหวานชื่นและซาบซึ้งใจเหลือเกิน!"
ชาห์ราซาดหันมามองนางด้วยรอยยิ้มบาง ก่อนกล่าวเสียงแผ่วเบาแต่มั่นคง
"แล้วสิ่งนี้จะเทียบได้กับสิ่งที่ข้าจะบอกเจ้าได้อย่างไร ในคืนที่จะมาถึง หากข้ายังมีชีวิตอยู่และกษัตริย์ทรงไว้ชีวิตข้า"
เงียบงันในห้องบรรทมมีเพียงเสียงลมหายใจเบาๆ ของพระเจ้าชาฮ์ริยาร์ ความกระหายอยากรู้ในเรื่องราวต่อไปแฝงลึกอยู่ในดวงเนตรดุดันของพระองค์ พระราชาทรงครุ่นคิด...
"ด้วยพระอัลเลาะห์ ฉันจะไม่ฆ่านางจนกว่าจะได้ฟังเรื่องเล่าที่เหลือของนาง เพราะมันน่าอัศจรรย์จริงๆ"
บรรยากาศภายในห้องเงียบงันไปครู่หนึ่งก่อนที่สุลต่านจะตรัสขึ้นเบาๆ
"เรื่องราวของเจ้าให้ข้อคิดแก่เราไม่น้อย การให้อภัยไม่เพียงปลดปล่อยผู้อื่น แต่ยังปลดเปลื้องความหนักอึ้งในใจเราเอง"
เชเฮราซาดยิ้มบางๆ ก่อนจะโค้งคำนับ “ข้าพเจ้าดีใจที่นิทานนี้สร้างประโยชน์ให้พระองค์”
สุลต่านทอดพระเนตรนางอีกครั้ง ดวงพระเนตรที่เคยเย็นชากลับเต็มไปด้วยความสนพระทัย “เจ้ามีความสามารถในการเล่าเรื่องที่หาได้ยาก เชเฮราซาด... นี่อาจเป็นเหตุผลที่เรายังไม่สั่งประหารเจ้า”
คำพูดนั้น แม้ฟังดูรุนแรง แต่แฝงด้วยความอบอุ่นที่เริ่มก่อตัวขึ้น เชเฮราซาดรับรู้ได้ถึงสิ่งนั้น และนางยังคงสงบนิ่งตอบกลับด้วยความนุ่มนวล
"ข้าพเจ้าจะทำหน้าที่ของข้าพเจ้าต่อไปเพคะ ตราบใดที่พระองค์ยังทรงฟัง"
แม้พระองค์จะตั้งใจประหารนางตั้งแต่วันแรก แต่บัดนี้ เรื่องเล่าของชาห์ราซาดกลับตรึงพระทัยราวมนตร์สะกด ความงดงามในน้ำเสียงที่บอกเล่ากับแววตาอันลึกล้ำของนาง ทำให้พระองค์ไม่อาจหันเหความสนใจได้
ทั้งสองนอนเคียงข้างกันในความเงียบอันอบอุ่น ร่างของชาห์ราซาดแนบชิดอยู่ในอ้อมแขนของพระราชา หัวใจที่หวั่นไหวของนางเต้นอย่างแผ่วเบา แต่มั่นคง นี่คือคืนที่สองที่นางมีชีวิตรอด—และนางจะเล่าเรื่องราวต่อไป…
รุ่งเช้า พระราชาทรงลุกขึ้นจากที่บรรทม เสด็จไปยังท้องพระโรงซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าวาซีร์และข้าราชบริพาร เสียงประกาศพระราชโองการก้องกังวาน พระราชาพิพากษาคดีความ แต่งตั้งผู้ภักดี และปลดผู้ที่มิซื่อสัตย์ กระทั่งเมื่อภารกิจในวันนั้นสิ้นสุดลง พระองค์จึงเสด็จกลับเข้าสู่พระราชวัง
เมื่อถึงคืนที่สามในพันราตรี:
เมื่อดวงตะวันลับขอบฟ้าอีกครั้ง พระราชาทรงประทับอยู่บนบัลลังก์บรรทม ขณะที่ชาห์ราซาดปรากฏตัวพร้อมด้วยดุนยาซาด นางก้มศีรษะลงอย่างสง่างาม
คืนนั้น ในยามที่แสงจันทร์สาดส่องผ่านหน้าต่าง พระราชาและเชเฮราซาดใช้เวลาร่วมกันอีกครั้ง ผ่านเรื่องราวที่ถักทออย่างประณีต หัวใจของทั้งสองเริ่มใกล้ชิดขึ้นทีละน้อย แม้จะยังคงถูกห่อหุ้มด้วยความไม่แน่นอนและความลังเล แต่แสงแห่งความหวังก็เริ่มส่องประกายในความมืดนั้น… ก่อนที่ดุนยาซาดจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงใสยามใกล้รุ่ง "โอ พี่สาวผู้แสนรัก เล่าเรื่องราวให้เราฟังอีกสิ"
พระราชาทรงรับสั่งด้วยความสนใจ "เล่าเรื่องของเจ้าให้เราฟังหน่อย"
ชาห์ราซาดยิ้มเล็กน้อย ก่อนเริ่มเล่าเรื่องอีกครั้งด้วยน้ำเสียงราวท่วงทำนองแห่งสายลม พระเจ้าชาฮ์ริยาร์ทอดพระเนตรดูนางด้วยความหลงใหลในวิธีการเล่าที่แสนมีเสน่ห์ของนาง
"ด้วยความยินดีและยินดี! โอ ราชาผู้ทรงเป็นสิริมงคล... เมื่อชายชราคนที่สามเล่าเรื่องราวที่น่าอัศจรรย์ยิ่งกว่าสองเรื่องก่อนหน้าให้ญินฟัง..."
และคืนที่สามจะเริ่มต้นด้วยนิทานของชาวประมง…